การเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นเป้าหมายในฝันของนักเรียนไทยหลายคน ด้วยคุณภาพการศึกษาระดับโลก มหาวิทยาลัยชั้นนำ และโอกาสในการสร้างเครือข่ายระดับสากล แต่ก่อนที่จะก้าวสู่การเรียนต่อในต่างประเทศ สิ่งสำคัญคือการวางแผนเรื่องงบประมาณและการเตรียมตัวอย่างรอบคอบ ดังนั้น ใครอยากเรียนต่ออเมริกา มาดูเรื่องค่าใช้จ่าย สิ่งที่ต้องเตรียม และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ เพื่อช่วยให้นักเรียนและผู้ปกครองสามารถวางแผนการเรียนต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพกันเลย
เรียนต่ออเมริกาใช้เงินเท่าไร ? รวมค่าใช้จ่ายที่ต้องรู้
ค่าเล่าเรียน (Tuition Fees)
- มหาวิทยาลัยของรัฐ (Public University) ประมาณ 10,000-25,000 ดอลลาร์ต่อปี
- มหาวิทยาลัยเอกชน (Private University) ประมาณ 25,000-50,000 ดอลลาร์ต่อปี
- หลักสูตรเฉพาะทาง เช่น MBA หรือแพทยศาสตร์ อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 60,000-80,000 ดอลลาร์ต่อปี
- หากวางแผนเรียน 4 ปี งบเฉพาะค่าเทอมอาจเริ่มต้นที่ประมาณ 1.4 ล้านบาท ไปจนถึงกว่า 10 ล้านบาท สำหรับมหาวิทยาลัยระดับท็อป
ค่าที่พักและค่าอาหาร (Living Expenses)
ค่าหอพักหรืออะพาร์ตเมนต์
- เมืองใหญ่ เช่น นิวยอร์ก หรือซานฟรานซิสโก 1,500-2,500 ดอลลาร์/เดือน
- เมืองรองหรือชานเมือง ค่าเช่าอาจลดลงเหลือประมาณ 800-1,200 ดอลลาร์/เดือน
ค่าอาหารและของใช้ส่วนตัว
- 300-500 ดอลลาร์/เดือน
- ภาพรวมค่าครองชีพต่อปีอาจอยู่ที่ 12,000-24,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 400,000-800,000 บาท
ค่าประกันสุขภาพ (Health Insurance)
- ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 500-2,000 ดอลลาร์/ปี ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัยที่เลือกและรัฐที่อาศัยอยู่
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (Miscellaneous Costs)
- ค่าเดินทาง เช่น ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ประมาณ 30,000-50,000 บาท
- ค่าอุปกรณ์การเรียน เช่น หนังสือและโน้ตบุ๊ก ประมาณ 1,000-2,000 ดอลลาร์ต่อปี
- ค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมและความบันเทิง ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์
- หากรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแบบคร่าว ๆ การเรียนต่ออเมริกาอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 1.5-3 ล้านบาทต่อปี
เรียนต่ออเมริกา ต้องสอบอะไรบ้าง ?
ก่อนจะสมัครเรียนต่ออเมริกา นักเรียนและนักศึกษาจำเป็นต้องเตรียมตัวสอบวัดระดับต่าง ๆ เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ โดยข้อสอบหลัก ๆ ได้แก่
TOEFL หรือ IELTS
TOEFL เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมมากในอเมริกา โดยมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มักต้องการคะแนน TOEFL iBT ประมาณ 90–100 ขึ้นไป เพื่อรับเข้าศึกษาต่อ
ส่วน IELTS มหาวิทยาลัยมักตั้งเกณฑ์ไว้ที่ ประมาณ 7.0–7.5 (บางโปรแกรมอาจต่ำกว่า 6.5 ได้ ขึ้นกับมหาวิทยาลัยและคณะ) เพื่อแสดงถึงความรู้ความเข้าใจภาษาอังกฤษในระดับที่สามารถเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
SAT หรือ ACT
สำหรับผู้สมัครระดับปริญญาตรี คะแนน SAT หรือ ACT มักนำมาใช้วัดความสามารถด้านภาษาและคณิตศาสตร์ ซึ่งโดยทั่วไปมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมักกำหนดคะแนน SAT อยู่ในช่วง 1400–1550 ขึ้นไป ส่วนคะแนน ACT จะประมาณ 30–34 ขึ้นกับความเข้มข้นของโปรแกรมและการแข่งขัน ผู้สมัครที่คะแนนต่ำกว่านี้อาจยังสามารถใช้ยื่นเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ได้ แต่อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติมหรือคณะที่มีการแข่งขันต่ำกว่า
GRE หรือ GMAT สำหรับผู้สมัครปริญญาโทขึ้นไป
- GRE โปรแกรมวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์อาจต้องการคะแนนส่วน Verbal และ Quantitative อยู่ในช่วงประมาณ 155–165 ขึ้นไป โดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง
- GMAT สำหรับคณะบริหารธุรกิจ (MBA) มหาวิทยาลัยชั้นนำมักกำหนดคะแนน GMAT อยู่ที่ 700–740 ขึ้นไป
ข้อสอบเฉพาะทางอื่น ๆ
- MCAT สำหรับสายแพทยศาสตร์ คะแนนเต็มรวมอยู่ที่ 528 โดยช่วงคะแนนที่ถือว่า “ดีมาก” มักอยู่ที่ประมาณ 510–514 ขึ้นไป
- LSAT สำหรับสายกฎหมาย คะแนนเต็มอยู่ในช่วง 120–180 ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว โรงเรียนกฎหมายที่มีชื่อเสียงหลายแห่งอาจต้องการคะแนนประมาณ 165–172 ขึ้นไป
เรียนต่ออเมริกาใช้อะไรบ้าง ? รวมเอกสารสำคัญที่ต้องเตรียม
- ใบแสดงผลการเรียน (Transcript)
- จดหมายแนะนำตัวจากครูหรืออาจารย์ (Recommendation Letters)
- Statement of Purpose (SoP) หรือ Essay เพื่อบอกเล่าความตั้งใจและเป้าหมาย
- พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) หากสมัครในสาขาที่เกี่ยวข้องกับศิลปะหรือการออกแบบ
- ผลคะแนนสอบมาตรฐาน (TOEFL, GRE, GMAT ฯลฯ)
- หลักฐานทางการเงิน เช่น Bank Statement หรือหนังสือรับรองทุน เพื่อยืนยันว่ามีงบประมาณเพียงพอสำหรับการเรียนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เรียนต่ออเมริกาหรืออังกฤษดี ? เผยข้อเปรียบเทียบเพื่อการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุด
รายการ | อเมริกา | อังกฤษ |
---|---|---|
ระยะเวลาเรียนป.ตรี | 4 ปี | 3 ปี |
ระยะเวลาเรียนป.โท | 2 ปี | 1 ปี |
ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย | สูงกว่าอังกฤษ | ต่ำกว่าเล็กน้อย |
ระบบการเรียน | ยืดหยุ่น วิชาเลือกเยอะ | เข้มข้น กระชับ |
วีซาทำงานหลังเรียนจบ | OPT ได้สูงสุด 3 ปี (สำหรับสาย STEM) | Graduate Route อยู่ต่อได้ 2 ปี |
ข้อควรรู้เพิ่มเติม วางแผนให้พร้อมก่อนเรียนต่ออเมริกา
การขอวีซานักเรียน (F-1 Visa)
นักเรียนหรือนักศึกษาที่ต้องไปการเรียนต่อที่สหรัฐฯ ต้องได้รับเอกสาร I-20 ซึ่งออกโดยมหาวิทยาลัยก่อน จากนั้นจึงค่อยนำไปยื่นขอวีซาพร้อมเอกสารอื่น ๆ เช่น หนังสือเดินทาง (Passport) เอกสารแสดงหลักฐานทางการเงิน รวมถึงจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยที่สมัครเรียน
เลือกมหาวิทยาลัยในรัฐที่เหมาะสม
การเลือกมหาวิทยาลัยขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ งบประมาณ และสาขาวิชาที่สนใจ เช่น รัฐแคลิฟอร์เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง UCLA และ Stanford เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบบรรยากาศในเมืองใหญ่ ส่วนนิวยอร์กเป็นศูนย์กลางธุรกิจและวัฒนธรรม มีค่าครองชีพสูง และมีมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ อย่าง NYU และ Columbia แต่สำหรับผู้ที่มองหาทางเลือกที่มีค่าครองชีพต่ำกว่า เท็กซัสและฟลอริดาก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
สภาพอากาศและไลฟ์สไตล์
สภาพภูมิอากาศและวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาคในสหรัฐฯ มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยฝั่งตะวันตกหรือ West Coast อย่างแคลิฟอร์เนียและวอชิงตันมีอากาศอบอุ่น เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบอากาศหนาว และมีไลฟ์สไตล์แบบชิล ๆ สบาย ๆ ในขณะที่ฝั่งตะวันออกหรือ East Coast อย่างนิวยอร์กและบอสตันจะมีฤดูหนาวที่อากาศเย็นจัด แต่ก็เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมระดับโลก เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความคึกคักและความหลากหลาย ส่วนภาคใต้ของสหรัฐฯ อย่างฟลอริดาและเท็กซัสจะมีอากาศร้อนชื้นคล้ายกับประเทศไทย ช่วยให้ปรับตัวได้ง่ายกว่า
คอร์สเตรียมสอบ IELTS สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนต่ออเมริกา
คอร์สเตรียมสอบ IELTS จาก AUA Language Center ได้รับการออกแบบมาเพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษทุกด้านอย่างเข้มข้น พร้อมฝึกฝนเทคนิคที่ใช้ได้จริงในการทำข้อสอบ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถทำคะแนนได้ตรงตามเป้าหมาย และมีความมั่นใจก่อนเข้าสู่สนามสอบจริง
หลักสูตรนี้เน้นการเสริมสร้าง 4 ทักษะหลัก ได้แก่ การฟัง (Listening) การอ่าน (Reading) การเขียน (Writing) และการพูด (Speaking) รวมถึงยังให้ความสำคัญกับทักษะเสริมอย่าง Grammar, Vocabulary และ Academic Study Skills ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเรียนในต่างประเทศ โดยผู้เรียนจะได้ฝึกทำข้อสอบ IELTS ของจริงถึง 4 ชุด พร้อมคำแนะนำและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมครูเจ้าของภาษาที่มีประสบการณ์ตรง
แม้จะเป็นคอร์สออนไลน์ แต่ AUA Language Center ได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถโต้ตอบ ถาม-ตอบ และฝึกฝนทักษะกับครูผู้สอนได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้บรรยากาศการเรียนมีชีวิตชีวาไม่ต่างจากการเรียนในห้องจริง เหมาะสำหรับผู้เรียนทุกกลุ่มที่มีเป้าหมายไปเรียนต่ออเมริกา และต้องการความพร้อมทั้งในด้านภาษาและความเข้าใจในข้อสอบ IELTS
การมีคะแนน IELTS สูง ไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสในการสมัครเรียนต่อ แต่ยังสะท้อนถึงความพร้อมด้านทักษะภาษาอังกฤษที่จำเป็นต่อการเรียนและการใช้ชีวิตในต่างประเทศด้วย ดังนั้น เพื่อช่วยให้คุณพิชิตคะแนน IELTS ได้ตามเป้าหมาย AUA Language Center พร้อมสนับสนุนทุกขั้นตอน ด้วยคอร์สเตรียมสอบ IELTS ที่ครอบคลุมทุกทักษะสำคัญ ตอบโจทย์ทุกระดับผู้เรียน ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากระดับพื้นฐานหรือมุ่งเป้าคะแนนสูงสุด ก็สามารถเริ่มต้นเส้นทางสู่การเรียนต่ออเมริกาได้อย่างมั่นใจ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยที่ LINE OA: @aualc
ข้อมูลอ้างอิง:
- Cost of Studying in the US: 2025 Tuition & Fees Guide. สืบค้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.vedantu.com/study-abroad/cost-of-studying-in-the-us.